โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ต้องใช้เคมีภัณฑ์เป็นวัตถุดิบในขบวนการผลิตมีมากกว่า 3,000 แห่ง เมื่อดูแหล่งที่ตั้งของโรงงานส่วนใหญ่ พบว่า มีบ้านเรือน แหล่งที่อยู่อาศัยโดยรอบ ลักษณะเช่นนี้ หากเกิดอุบัติภัยขึ้น เช่น ในโรงงานมีการรั่วไหลของสารเคมีมาทำปฏิกิริยากันเกิดระเบิดและไฟไหม้ หรือมีสารระเหยที่เป็นพิษกระจายอยู่รอบโรงงานทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงได้
ดังนั้น การเก็บรักษา การผลิต การใช้และการขนส่ง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริการจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556
ฉะนั้น ทำไมจึงต้องมีแผนฉุกเฉิน เพราะเป็นแผนแม่บท (Source of action) สำหรับพนักงาน เพราะในแผนจะกำหนดเป็นคู่มือแสดงวิธีการปฏิบัติตัวขิงพนักงานในยามฉุกเฉิน ว่าพนักงานจะต้องปฏิบัติอะไร และปฏิบัติอย่างไรบ้าง เช่น แผนการฝึกซ้อมพนักงานใหม่ให้ทราบถึงวิธีการหนีไฟอย่างปลอดภัยหรือแผนการฝึกพนักงานซึ่งมีการตื่นกลัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินให้สามารถอพยพหนีได้อย่างปลอดภัย
กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556
หมวด 9
การควบคุมและปฏิบัติการกรณีมีเหตุฉุกเฉิน
ข้อ 33 ให้นายจ้างจัดทำแผนปฏิบัติการกรณีมีเหตุฉุกเฉินของสถานประกอบกิจการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีอธิบดีประกาศกำหนดและเก็บแผนดังกล่าวไว้ ณ สถานประกอบกิจการพร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัย ตรวจสอบได้ ตลอดจนปรับปรุงแผนให้ทันสมัยและฝึกซ้อมตามแผน อย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
สารเคมีอันตราย....คืออะไร
สารเคมีอันตราย วัตถุอันตรายหรือ สารอันตราย หมายถึง ธาตุหรือสารประกอบ ที่มีคุณสมบัติเป็นพิษหรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ พืช ทำให้ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม
ประเภทสารเคมีอันตรายตามหลักสากล
ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด : สารที่ก่อให้เกิดการระเบิด ที่สามารถเกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้ด้วยตัวมันเอง ทำให้เกิดก๊าซที่มีความดันและเกิดความร้อนอย่างรวดเร็ว เช่น พลุอากาศ ลูกระเบิด
ประเภทที่ 2 ก๊าซ : สารที่เกิดการรั่วไหลสามารถก่อให้เกิดอันตรายจากการลุกติดไฟหรือเป็นพิษ เช่น ก๊าซหุงต้ม ก๊าซไนโตรเจน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ : ของเหลวผสมที่มีจุดวาบไฟ (Flash Point) ไม่เกิน 60.5 องศาเซลเซียส เช่น อะซิโตน
ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ : ของแข็งที่สามารถติดไฟได้ง่ายจากการได้รับความร้อนจากประกายไฟ หรือจากการเสีดสี เช่น กำมะถัน ฟอสฟอรัส
ประเภทที่ 5 สารออกซิไดส์และออร์แกนิกเปอร์ออกไซด์: สารออกซิไดส์เป็นสารที่ไม่ติดไฟแต่ให้ออกซิเจน ช่วยให้วัตถุอื่นเกิดการลุกไหม้ เช่น โซเดียมเปอร์ออกไซด์ และสารออร์แกนิกเปอร์ออกไซด์ : เป็นสารที่ช่วยในการเผาสารที่ลุกไหม้ หรือ ทำปฏิกิริยากับสารอื่น เช่น อะซีโตนเปอร์ออกไซด์
ประเภทที่ 6 สารพิษและสารติดเชื้อ : สารพิษ เป็นสารที่สามารถทำให้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บรุนแรงต่อสุขภาพของคน เช่น โซเดียมไซยาไนด์ และสารติดเชื้อ : เป็นสารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เป็นสาเหตุของการเกิดโรคในสัตว์และคน เช่น แบคทีเรีย
ประเภทที่ 7 วัตถุกัมมันตรังสี : วัตถุที่สามารถแผ่รังสีที่มองไม่เห็นอย่างต่อเนื่อง เช่น โคบอลต์-60
ประเภทที่ 8 สารกัดกร่อน : สารที่มีปฏิกิริยาเคมี มีฤทธิ์กัดกร่อนทำความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรง เช่น โซเดียวไฮดรอกไซด์
ประเภทที่ 9 วัตถุอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย :สารหรือสิ่งของที่ในขณะขนส่งเป็นสารอันตราย ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทที่ 1-8 เช่น ปุ๋ย
สารอันตรายทราบได้อย่างไร ?
เราสามารถสังเกตฉลาก หรือเครื่องหมายซึ่งเป็นเครื่องหมายสากลที่ติดบนภาชนะบรรจุ ถังเหล็ก แท็งก์ หรือป้ายที่ติดบนรถยนต์หรือรถบรรทุก
เอกสาร SDS คืออะไร? ทำไมโรงงานต้องมี
Safety Data Sheet (SDS) หรือในบางครั้งเรียกว่า Material Safety Data Sheet (MSDS) นั้น หมายถึงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยสารเคมี ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงข้อมูลของสารเคมีหรือเคมีภัณฑ์เกี่ยวกับลักษณะความเป็นอันตราย พิษ วิธีใช้ การเก็บรักษา การขนส่ง การกำจัดและการจัดการอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับสารเคมีนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย
1. ข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีและบริษัทผู้ผลิตและหรือจำหน่าย (Identification of the substance/preparation and of the Company/undertake)
2. ข้อมูลระบุความเป็นอันตราย(Hazards Identification)
3. ส่วนประกอบและข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสม(Composition/Information on Ingredients)
4.มาตรการปฐมพยาบาล(First Aid Measures)
5. มาตรการผจญเพลิง(Fire Fighting Measures)
6.มาตรการจัดการเมื่อมีการหกรั่วไหลของสารโดยอุบัติเหตุ(Accidental Release Measures)
7. ข้อปฏิบัติในการใช้และการเก็บรักษา(Handling and Storage)
8.การควบคุมการรับสัมผัสและการป้องกันภัยส่วนบุคคล(Exposure Controls/Personal Protection)
9.คุณสมบัติทางเคมีและกายภาพ(Physical and Chemical Properties)
10.ความเสถียรและความไวต่อการเกิดปฏิกิริยา(Stability and Reactivity)
11.ข้อมูลด้านพิษวิทยา(Toxicological Information)
12.ข้อมูลเชิงนิเวศน์(Ecological Information)
13.มาตรการการกำจัด(Disposal Considerations)
14.ข้อมูลสำหรับการขนส่ง(Transport Information)
15.ข้อมูลเกี่ยวกับกฎข้อบังคับ(Regulatory Information)
16.ข้อมูลอื่น(Other Information)
อันตรายจากสารเคมี
1. จากการสัมผัสโดยตรงเมื่อสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย ในช่องทางต่าง ๆ จะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังในระยะยาวได้
2. จากการสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร
3. การปนเปื้อนจากแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค
4. การเจือปนอยู่ในอากาศ
5. การระเบิดหรือไฟไหม้
ผลกระทบจากการสัมผัสสารเคมี
ร่างกาย
สิ่งแวดล้อม
ทรัพย์สินและสังคม
การเก็บสารเคมีให้ถูกต้อง ?
วิธีที่ดีที่สุด คือการจัดกลุ่มสารเคมีตามความว่องไวต่อปฏิกิริยา และกำหนดให้สารที่เข้ากันไม่ได้ วางแยกเก็บให้ห่างจากกันอย่างเด็ดขาด สารเคมีหลายพันชนิดที่ใช้กันอยู่อาจแบ่งได้เป็น 6 กลุ่มคือ
1. สารไวไฟ (flammable chemicals)
- อยู่ห่างจากแหล่งจุดติด
- มีป้ายห้ามสูบบุหรี่
- เก็บแยกจากสารพวก oxidizers สารที่ลุกติดไฟได้เอง
2. สารระเบิดได้ (explosive chemicals)
- เก็บห่างจากอาคารอื่น
- มีการล๊อคอย่างหนาแน่นหนา
- ไม่ควรเก็บในที่มีเชื้อเพลิง หรือสารที่ติดไฟได้ง่าย
- ต้องห่างเปลวไฟอย่างน้อย 20 ฟุต
3. สารเป็นพิษ (toxic chemicals)
- ปิดฝาสนิท อากาศเข้าไม่ได้
- ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ
- สารที่ไวต่อแสง ต้องเก็บไว้ในขวดสีชา ในสถานที่เย็น แห้งและมืด
4 สารกัดกร่อน (corrosive chemicals)
- เก็บในที่เย็น แต่ต้องสูงกว่าจุดเยือกแข็ง
- ต้องใช้ถุงมือ สวมแว่นตา ฯลฯ เมื่อใช้สารพวกนี้
- ต้องเก็บกรดแยกห่างจากโลหะที่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยา เช่น โซเดียม แมกนีเซียม
5. สารกัมมันตรังสี (radioactive chemicals)
6. สารที่เข้าไม่ได้ (incompatible chemicals)
- สารที่เมื่ออยู่ใกล้กันจะทำปฏิกิริยากันอย่างรุนแรง ต้องเก็บให้ห่างจากกันที่สุด
- เตรียมเครื่องดับเพลิง Class D ไว้ในกรณีเกิดไฟไหม้ oxidizers
การขนส่งสารเคมีอันตราย
1.การขนส่งวัตถุอันตรายตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ให้ดำเนินตามที่กฎหมายกำหนด
2.การขนถ่ายวัตถุอันตราย (Loading and Unloading)
-หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประกายไฟ
-ผูกยึดภาชนะบรรจุเพื่อป้องกันการกระทบของเหลวไวไฟ ของแข็งไวไฟ ฯลฯ
-ต้องดึงเบรกมือเพื่อป้องกันการไหลเคลื่อนของรถ
-ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญควบคุมตลอดเวลา
-การขนถ่ายวัตถุอันตรายชนิดไวไฟที่เป็นก๊าซหรือของเหลวต้องต่อสายดิน เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตซึ่งอาจทำให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดได้
PPE level of protectionระดับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลสำหรับพนักงาน
ตามประกาศของสำนักงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (OSHA) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมHAZWOPERต้องปฏิบัติตามอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) สี่ระดับ เหล่านี้สี่ระดับที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องแรงงานการจัดการกับวัสดุที่เป็นอันตรายในสถานการณ์ต่าง ๆ และได้รับความคุ้มครองในหลักสูตรการฝึกอบรม HAZWOPER เป็นสิ่งสำคัญที่นายจ้างต้องทำความคุ้นเคยกับระดับ PPE เหล่านี้เนื่องจากปกป้องลูกจ้างของตนจากอันตรายที่พวกเขาพบบนพื้นที่งาน โดยปกติผู้บัญชาการพื้นที่จะกำหนดระดับชุดป้องกันส่วนบุคคลตามเงื่อนไข ณ ที่เกิดเหตุ สำหรับโรงพยาบาลและเครื่องรับ / เครื่องรับแรกอื่น ๆ การเลือกใช้ PPE ขึ้นอยู่กับกระบวนการทางเคมีที่กำหนดไว้โดยนายจ้าง
ไอระเหยก๊าซและอนุภาคจากกิจกรรมการตอบสนองต่อสารอันตรายจะทำให้บุคลากรที่ตอบสนองความเสี่ยงเกิดความเสี่ยง ด้วยเหตุนี้พนักงานตอบสนองต้องสวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสมเมื่อใดก็ตามที่อยู่ใกล้สถานที่ ยิ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่ไซต์ปลดปล่อยมากเท่าใดคุณก็จะเลือกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลได้ง่ายขึ้น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลมีอยู่สี่ระดับ
การป้องกันระดับ A จำเป็นต้องใช้เมื่อมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดและเมื่อจำเป็นต้องมีระดับที่สูงที่สุดในการป้องกันทางเดินหายใจและการป้องกันดวงตา ตัวอย่างของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ในระดับ A รวมถึง:
(SCBA) หรือเครื่องช่วยหายใจที่มีอากาศถ่ายเทช่วยหายใจด้วย SCBA;
-ชุดป้องกันสารเคมีและไอป้องกันตัว;
-ถุงมือป้องกันสารเคมีทั้งภายในและภายนอกและ
-ชุดป้องกันถุงมือและรองเท้าบู๊ท
การป้องกันระดับ B จำเป็นต้องใช้ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องการระดับการป้องกันทางเดินหายใจสูงสุดและมีระดับการป้องกันผิวที่น้อยกว่า บริเวณที่เป็นของเสียอันตรายจากภายนอกที่ทิ้งรั่วซึมไอระเหยในบรรยากาศหรือระดับก๊าซไม่ได้เข้าใกล้ความเข้มข้นสูงมากพอที่จะรับประกันการป้องกันระดับ A ตัวอย่างของการป้องกันระดับ B ได้แก่ :
-(SCBA) หรือเครื่องช่วยหายใจที่มีอากาศถ่ายเทช่วยหายใจด้วย SCBA;
-ถุงมือป้องกันสารเคมีทั้งภายในและภายนอก
-โล่ใบหน้า;
-เสื้อผ้าที่ทนต่อสารเคมีได้
-coveralls; และ
-รองเท้าป้องกันสารเคมีด้านนอก
ต้องมีการป้องกันระดับซีพียูเมื่อต้องทราบถึงความเข้มข้นและชนิดของสารในอากาศและเกณฑ์การใช้เครื่องช่วยหายใจ
อุปกรณ์ระดับ C ทั่วไป ได้แก่ :
-หน้ากากกรองอากาศแบบเต็มหน้า
-ถุงมือป้องกันสารเคมีทั้งภายในและภายนอก
-หมวกแข็ง;
-หน้ากากหนี; และ
-บู๊ทส์ด้านนอกที่ทนสารเคมีทิ้ง
การป้องกันระดับ D เป็นการป้องกันขั้นต่ำที่จำเป็น การป้องกันระดับ D อาจเพียงพอเมื่อไม่มีสารปนเปื้อนอยู่หรือการปฏิบัติงานไม่ให้เกิดการกระเด็นหรือการสูดดมที่ไม่คาดคิดหรือสัมผัสกับสารเคมีอันตราย อุปกรณ์
ป้องกันระดับ D ที่เหมาะสมอาจรวมถึง:
-ถุงมือ;
-coveralls;
-แว่นตานิรภัย
-โล่ใบหน้า; และ
-รองเท้าส้นเตารีดหรือรองเท้าป้องกันสารเคมี
บทสรุป
การจัดทำแผนฉุกเฉินสารเคมีรั่วไหลนั้น จัดทำขึ้นเพื่อ
- เพื่อเกิดความคุ้นเคยในอาคารสถานที่ อุปกรณ์รับเหตุฉุกเฉิน วิธีแจ้งเหตุ
- เพื่อเข้าใจระบบการสื่อสารขณะเกิดเหตุ
- คุ้นเคยกับบทบาทหน้าที่ของตนเอง การใช้เครื่องมือ และการปฏิบัติตามขั้นตอน
- มีประสบการณ์เกิดความเชื่อมั่น มีทักษะสามารถระงับเหตุได้เร็ว
- บุคลากรนอก-ในประสารงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีการพิสูจน์ความถูกต้องในรายละเอียดของแผน เช่น เบอร์โทรศัพท์ อุปกรณ์รับเหตุฉุกเฉิน
อีกทังยังเป็นข้อบังคับของกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้าน
ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556ซึ่งหากเราไม่มีการจัดทำแผนฉุกเฉิน หรือมีแผนที่ไม่ดี ก็จะทำให้ไม่สามารถควบคุมเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้ และส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งด้านร่างกาย ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอีกด้วย
PPE level of protection
Level A จำเป็นต้องใช้เมื่อมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดและเมื่อจำเป็นต้องมีระดับที่สูงที่สุดในการป้องกันทางเดินหายใจและการป้องกันดวงตา ตัวอย่างของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ในระดับ A รวมถึง:(SCBA) หรือเครื่องช่วยหายใจที่มีอากาศถ่ายเทช่วยหายใจด้วย SCBA;
วิทยุสื่อสาร
SCBA
ชุดป้องกันสารเคมีและไอป้องกันตัว;
ถุงมือป้องกันสารเคมีทั้งภายในและภายนอกและ
ชุดป้องกันถุงมือและรองเท้าบู๊ท
Level B จำเป็นต้องใช้ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องการระดับการป้องกันทางเดินหายใจสูงสุดและมีระดับการป้องกันผิวที่น้อยกว่า บริเวณที่เป็นของเสียอันตรายจากภายนอกที่ทิ้งรั่วซึมไอระเหยในบรรยากาศหรือระดับก๊าซไม่ได้เข้าใกล้ความเข้มข้นสูงมากพอที่จะรับประกันการป้องกันระดับ A ตัวอย่างของการป้องกันระดับ B ได้แก่ :
วิทยุสื่อสาร
SCBA
ชุดหมี
ถุงมือ
รองเท้าบู๊ท
Level C ได้แก่ :
วิทยุสื่อสาร
หน้ากากกรองสารเคมี
ชุดหมี
ถุงมือ
รองเท้าบู๊ท
Level D ที่เหมาะสมอาจรวมถึง:
แว่นตานิรภัย
ชุดหมี
รองเท้าบู๊ท/รองเท้านิรภัย
แผนฉุกเฉินแผนปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมีรั่วไหล
บทความโดย
รศ.ดร.พรพรรณ สกุลคู, สมจิต บุญพา
สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น